ทีมชาติอาร์เจนตินาเคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้ว 2 สมัย โดยทำได้ในปี ค.ศ.1978 และ ค.ศ.1986 และในปี 2022 กับฟุตบอลโลกที่ประเทศกาตาร์ทีมชาติอาร์เจนตินาที่นำโดย ลิโอเนล สคาโลนี หัวหน้าโค้ชชาวอาร์เจนไทต์ ได้เรียกนักเตะตัวหลักมากมายมาร่วมสู้ศึกฟุตบอลโลกในครั้งนี้นำโดย ลีโอเนล เมสซี่,อังเคล ดิ มาเรีย,ลิซานโดร มาติเนซ,คริสเตียน โรเมโร่ เป็นต้น
เส้นทางสู่การเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 3 ของทีมชาติอาร์เจนตินากับฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์
รอบคัดเลือก
ทีมชาติอาร์เจนตินาลงเล่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนอเมริกาใต้ซึ่งจะต้องเจอกับอีก 9 ทีมร่วมทวีป ได้แก่
- ทีมชาติโบลิเวีย
- ทีมชาติแพรากเว
- ทีมชาติอุรุกวัย
- ทีมชาติเปรู
- ทีมชาติบราซิล
- ทีมชาติชิลี
- ทีมชาติโคลอมเบีย
- ทีมชาติเวเนซุเอลา
- ทีมชาติเอกวาดอร์
ซึ่งในรอบนี้จะแข่งแบบพบกันหมดและแข่งแบบเหย้า,เยือน โดยจะเอาทีมที่มีคะแนนดีที่สุด 4 ทีม ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 ที่ประเทศกาตาร์ และทีมอันดับที่ 5 จะต้องไปเพลย์ออฟกับทีมจากทวีปอื่นเพื่อชิงตั๋วใบที่เหลือ ซึ่งในรอบคัดเลือกทีมชาติอาร์เจนตินาแข่งไปทั้งหมด 18 นัด มี 40 คะแนน โดยมี เลาตาโร มาร์ติเนซกับลิโอเนล เมสซี่ เป็นดาวซัลโวประจำทีมโดยการทำไปคนละ 7 ประตู ซึ่งส่งผลให้ทีมชาติอาร์เจนตินาได้ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศการ์ตาในฐานะรองแชมป์กลุ่ม
ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศกาตาร์
ลิโอเนล สคาโลนี หัวหน้าโค้ชทีมชาติอาร์เจนตินาที่พาทีมผ่านรอบคัดเลือกโซนอเมริกาใต้ ได้ทำการประกาศรายชื่อ 26 นักเตะ เพื่อเข้าร่วมเก็บตัวฝึกซ้อม เพื่อการเตรียมทีมไปทำการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศกาตาร์ ซึ่งประกอบด้วย
ตำแหน่งผู้รักษาประตู
- ฟรังโก้ อาร์มานี
- เคโรนิโม รูญี
- เอมิเลียโน มาร์ติเนซ
ตำแหน่งกองหลัง
- ฮวน ฟอยทธ์
- นิโคลัส ตายาฟิโก้
- กอนซาโล มอนเทียล
- เคร์มัน เปซเซลลา
- มาร์กอน อคุนญา
- คริสเตียน โรเมโร
- นิโคลัสโอตาเมนดี้
- ลิซานโดร มาร์ติเนซ
- นาอูเอล โมลินา
ตำแหน่งกองกลาง
- เลอันโดน ปาเรเดส
- โรดริโก้ เด ปอล
- เอเซเกล ปาลาซิออส
- ติอาโก้ อัลมาด้า
- อเลซานโดร โกเมซ
- กีโด้ โรดริเกวซ
- อเล็กซีส แม็ค อัลลิสเตอร์
- เอ็นโซ เฟร์นานเดซ
ตำแหน่งกองหน้า
- ลิโอเนล เมสซี่(กัปตันทีม)
- ฮูเลียน อัลวาเรส
- อังเคล ดิ มาเรีย
- อังเคล คอร์เรียอา
- เปาโล ดิบาลา
- เลาตาโร มาร์ติเนซ
รอบแบ่งกลุ่ม
การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 ที่ประเทศกาตาร์ประกอบไปด้วย 32 ทีม โดยแบ่งเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม ซึ่งทีมชาติอาร์เจนตินาอยู่ในกลุ่ม C ร่วมกับ
- ทีมชาติอาร์เจนตินา
- ทีมชาติโปแลนด์
- ทีมชาติเม็กซิโก
- ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย
ซึ่งอาร์เจนตินาเปิดประเดิมนัดแรกในฟุตบอลโลกรอบนี้ด้วยการพ่ายต่อซาอุดิอาระเบีย 1-2 ก่อนจะมาเอาชนะทีมชาติเม็กซิโก 2-0 และปิดขายรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเอาชนะทีมชาติโปแลนด์ 2-0 ทำให้ทีมชาติอาร์เจนตินาผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการมี 6 คะแนน และจบอันดับ 1 ของกลุ่ม C
รอบ 16 ทีมสุดท้าย
อาร์เจนตินาพบออสเตรเลีย นัดนี้ถ้าดูจากชื่อชั้นแล้วอาร์เจนตินาเจองานที่ไม่ใช่งานยากสักเท่าไหร่ แต่ทว่าการแข่งขันฟุตบอลโลกก็ไม่มีอะไรง่ายเสมอไป นัดนี้อาร์เจนตินาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากลีโอเนล เมสซี่ ในนาทีที่ 35 และหนีห่าง 2-0 จากฮูเลียน อัลวาเรส ในนาทีที่ 57 ก่อนที่ เอ็นโซ เฟร์นานเดส จะพลาดท่าทำเข้าประตูตัวเอง ในนาทีที่ 77 ทำให้จบเกมอาร์เจนตินาเป็นฝ่ายเอาชนะออสเตรเลียด้วยสกอร์ 2-1 และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไป
รอบก่อนรองชนะเลิศ
ทีมฟ้า-ขาวต้องโคจรมาพบอัศวินสีส้มทีมชาติเนเธอร์แลนด์ โดยในนัดนั้นเกิดประเด็นก่อนแข่งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นบทสัมภาษณ์ของหลุยส์ ฟัลกัล หัวหน้าโค้ชของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอาร์เจนตินาเล่นเกมรับแค่ 10 คน หรือจะบอกเป็นนัยว่า ลิโอเนล เมสซี่ ไม่ช่วยทีมเล่นเกมรับเลย
มื่อเกมเริ่มมาได้ 35 นาทีทีมชาติอาร์เจนตินาได้ประตูขึ้นนำจากการทำเข้าประตูของ ลีโอเนล เมสซี่ ทำให้ทีมชาติอาร์เจนตินาขึ้นนำ 1-0 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้ ครึ่งหลังเริ่มมาได้นาทีที่ 73 ทีมชาติอาร์เจนตินามาได้ลูกโทษและเป็นเลโอเนล เมสซี่ เป็นคนสังหารจุดโทษทำให้อาร์เจนตินาออกนำเนเธอร์แลนด์ 2-0 แต่เนเธอร์แลนด์ก็ได้ประตูตีไข่แตกจาก เวาท์ เวกฮอร์สท์ ในนาทีที่ 83 และในนาทีที่ 90+11 เวาท์ เวกฮอร์สท์ คนเดิมก็มายิงประตูตีเสมอ ทำให้จบ 90 นาที ทั้งสองทีมเสมอกันไปด้วยสกอร์ 2-2 จนทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ
แต่ตลอดการต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที ทั้งสองทีมยังไม่สามารถทำประตูกันเพิ่มได้ ทำให้ยืดยื้อมาถึงช่วงดวลจุดโทษและเป็นทีมชาติอาร์เจนตินาที่ทำได้ดีกว่าในช่วงของการดวลจุดโทษและชนะไปด้วยสกอร์ 4-3 และผ่านเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายต่อไป ในระหว่างการเกมการแข่งขัน ผู้เล่นทีมชาติอาร์เจนตินาได้แสดงให้เห็นถึงความดุดันและเลโอเนล เมสซี่ เองก็ได้ทำให้เห็นว่าทุกคนทีมของเขาได้ช่วยกันเล่น และเล่นเป็นทีมเป็นระบบตามที่หัวหน้าโค้ชได้วางแผนมา
รอบรองชนะเลิศ
รอบนี้ทัพอินทรีฟ้าขาวต้องพบกับรองแชมป์เก่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว นั่นก็คือทีมชาติโครเอเชีย ซึ่งมี ลูก้า โมดริช กองกลางตัวเก่งของทีม เป็นกัปตันทีม และลงบัญชาการเกมตรงกลางสนาม ทำให้รูปเกมค่อนข้างดูดีในช่วงแรก แต่ทีมชาติอาร์เจนตินาก็เล่นด้วยความอดทนและอาศัยจังหวะสวนกลับในนาทีที่ 34 ทีมชาติอาร์เจนตินามาได้จุดโทษจากจังหวะที่ฮูเลียน อัลวาเรซ โดนสกัดล้มลงในกรอบเขตโทษ และเป็น เลโอเนล เมสซี่ ยิงให้ทีมชาติอาร์เจนตินา เป็นฝ่ายได้ประตูขึ้นน้ำไป 1-0 ต่อมาในนาทีที่ 39 ทีมชาติอาร์เจนตินา ก็ได้ประตูทิ้งห่าง 2-0 จากฮูเลียน อัลวาเรส และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้ ครึ่งเริ่มมาได้ไม่นาน นาทีที่ 69 ทีมชาติอาร์เจนตินาก็มาได้ประตูที่ 3 จากฮูเลียน อัลวาเรส คนเดิม ทำให้จบเกมส์ ทีมชาติอาร์เจนตินาเอาชนะรองแชมป์เก่าอย่างทีมชาติโครเอเชีย 3-0 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ
รอบชิงชนะเลิศ
ทีมชาติอาร์เจนตินาที่นำทัพโดย เลโอเนล เมสซี่ ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศมาพบกับแชมป์เก่าทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งมีสตาร์ดังอย่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ นัดนี้นอกจากจะเป็นนัดชิงชนะเลิศเพื่อการเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ของทั้ง 2 ชาติแล้ว ยังถือเป็นการแย่งตำแหน่งดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์นี้ของ เลโอเนล เมสซี่กับ คิลิยัน เอ็มบัปเป้โดยตรงอีกด้วย นัดนี้ทั้งสองทีมผลัดกันรุกผลัดกันรับ เปิดเกมแลกกันอย่างเมามันส์ จนกระทั่งนาทีที่ 23 ทีมชาติอาร์เจนตินาก็มาได้ลูกจุดโทษและก็เป็น เลยโอเนล เมสซี่ รับหน้าที่สังหารเข้าไป ทำให้ทีมชาติอาร์เจนตินาออกนำ 1-0 เกมเดินต่อมาถึงนาทีที่ 36 อังเคลดิมาเรีย ก็มาซัดประตูที่ 2 ให้ทัพฟ้าขาว ขึ้นนำไป 2-0 จนจบครึ่งเวลาแรกด้วยสกอร์นี้ เกมทำท่าว่าทีมชาติอาร์เจนตินาจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ไม่ยาก แต่ทว่าในนาทีที่ 80 ทีมชาติฝรั่งเศส ก็มายิงประตูตีตื้นเป็น 1-2 จาก คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ถัดมาอีก 1 นาที ในนาทีที่ 81 คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ก็มากดลูก 2 ให้ฝรั่งเศษตีเสมอทีมชาติอาร์เจนตินา 2-2 จบ 90 นาที ไม่สามารถหาผู้ชนะได้ จึงต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที ช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 108 เลโอเนล เมสซี่ ยิงประตูที่ 2 ให้เจ้าตัวและเป็นประตูที่ทำให้ทีมชาติอาร์เจนตินาขึ้นนำ 3-2 ถ้าจบสกอร์นี้จะทำให้ทีมชาติอาร์เจนตินาคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ไปครอง และเลโอเนล เมสซี่เองก็จะกลายเป็นดาวซัลโวทันที
แต่!!มันก็ไม่ได้มีอะไรง่ายในการแข่งขันฟุตบอลโลก ถัดมาอีก 10 นาที นาทีที่ 118 ทีมชาติฝรั่งเศสก็มาได้จุดโทษอีกครั้งและเป็นคิลิยัน เอ็มบัปเป้ซัดแฮตทริกให้ฝรั่งเศสตีเสมอ 3-3 พร้อมนำเป็นดาวซัลโวแทนที่ของ เลโอเนล เมสซี่ ทันที ก่อนจบ 120 นาที แล้วต้องมาหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งเป็นทีมชาติอาร์เจนตินาที่ทำได้ดีกว่าและคว้ามาแชมป์โลกสมัยที่ 3 มาครองได้สำเร็จ นี่นับเป็นอีกหนึ่งในนัดชิงชนะเลิศที่อยู่ในความทรงจำของแฟนฟุตบอลทั่วโลกก็พูดได้
อ้างอิง
ผลบอลโลก 2022 รอบ 16 ทีมวันแรก : เนเธอร์แลนด์ควงอาร์เจนตินามาตามนัด
https://www.goal.com/th/ข่าว/ผลบอลโลก-2022-รอบ-16-ทีมวันแรก–เนเธอร์แลนด์ควงอาร์เจนตินามาตามนัด/blt4cdfbbc96ab6bbf3